10 ความแตกต่างระหว่าง Virtual Run VS วิ่งในงาน

10 ความแตกต่างระหว่าง Virtual Run VS วิ่งในงาน

สิ่งที่หลายคนรอคอยหลังจากได้ซุ่มซ้อมวิ่งนั้นก็คือ”งานวิ่ง” ไม่ว่าจะเป็น ระยะ 5K ,10K,21K,42K หรือมากกว่านั้น ก็เพื่อจะได้วิ่งชมบรรยากาศ ได้เหรียญสวยๆกลับบ้าน ได้พบปะสังสรรค์กันกลุ่มเพื่อนๆนักวิ่ง ได้ท้าทายตัวเองในสนามกับนักวิ่งเก่งๆ และได้กินอาหารอร่อยๆหลังจากวิ่งจบ ได้เจอสาวๆหนุ่มๆที่พอเห็นแล้วมันชุ่มชื่นหัวใจ ได้ไปพบแรงบันดาลใจ พลังบวกในการวิ่ง

แต่งานวิ่งแต่ละงานต้องยอมรับเลยว่าไม่ได้จัดขึ้นกันมาง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเส้นทางการวิ่ง จุดบริการน้ำ อาหารการกินที่เป็นปัญหาพบเห็นได้อยู่บ่อยๆ จนนักวิ่งบ่นกันระงม หรือบางคนอยู่ไกลมางานวิ่งแต่ละทีก็ลำบากจึงทำให้มีการวิ่งแบบใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า “Virtual Run”

“Virtual Run” เป็นการวิ่งที่ไหนก็ได้ โดยมีระยะเวลาและระยะทางกำหนดมาให้ โดยจะใช้การจับระยะทางจากระบบGPS ไม่ว่าจะเป็นจากนาฬิกาหรือจากแอพพิเคชั่นในมือถือ สามารถรับเหรียญเหมือนกันถ้าทำตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่ง ณ ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก จะเห็นได้จากงานวิ่ง Major ระดับโลก จะมี Virtual Run คู่ขนานไปด้วยเอาใจนักวิ่งที่อาจจะไม่สามารถเดินทางไปร่วมงานวิ่งได้ หรือลงทะเบียนงานวิ่งไม่ทัน ก็เสมือนได้วิ่งอยู่ในงานจริงๆ

เราลองมาเปรียบเทียบกันดูดีกว่าว่า วิ่งในงานกับVirtual Run อันไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

  1. Virtual Run สามารถวิ่งที่ไหนก็ได้ตามสถานที่ที่คุณถนัด แต่ในงานวิ่งคุณไม่สามารถกำหนดได้เลยว่าคุณจะเจอถนนแบบไหน เจอหลุม เจอสะพานกี่สะพาน เจอเส้นทางที่คุณไม่เคยวิ่งเลยด้วยซ้ำ
  2. Virtual Run คุณไม่ต้องไปวิ่งแข่งกับใครเลย แต่ในงานวิ่งจะต้องแข่งขันเพื่อจะได้ถ้วยรางวัลถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทำความเร็ว
  3. Virtual Run มีความยืดหยุ่นให้คุณ ไม่จำเป็นต้องวิ่ง 100K ภายในวันเดียว คุณวิ่งวันนี้พรุ่งนี้อยากพักกินหมูกระทะก็ยังได้ แต่ถ้าคุณวิ่งในงานวิ่งคุณจะมีตัวเลือกแค่ 2ทาง คือ Finish หรือ DNF ในวันนั้นเลย
  4. Virtual Run ระหว่างทางการวิ่งคุณต้องเตรียมน้ำดื่ม อาหาร ระหว่างวิ่งสำหรับตัวคุณเอง แต่วิ่งในงานระหว่างทางจะมีน้ำดื่ม อาหาร ให้ตามที่กำหนด
  5. Virtual Run ผลระยะทางคำนวนจากนาฬิกาหรือแอพพิเคชั่นที่อาจจะทำให้คลาดเคลื่อนได้ แต่วิ่งในงานมีการวัดระยะแบบเส้นทางจริงๆ ยิ่งในปัจจุบันมีการติดชิพไว้ที่bib ด้วยซึ่งสามารถให้ความแม่นยำมากขึ้น
  6. Virtual Run บางทีคุณอาจจะวิ่งคนเดียวมันก็จะเหงาหน่อยๆ แต่วิ่งในงานจะทำให้คุณมีโอกาศเจอคนมากหน้าหลายตา และคนเหล่านี้นั้นอาจจะเป็นเพื่อนนักวิ่งของคุณในอนาคตก็เป็นได้
  7. Virtual Run คุณไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าๆ คุณอยากวิ่งบ่าย 2 บ่าย 3 ก็ได้แล้วแต่คุณสะดวกเลย แต่วิ่งในงานส่วนใหญ่จะวิ่งกันเช้าถึงเช้ามาก อาจจะไม่เหมาะกับคนตื่นสายสักหน่อย
  8. Virtual Run ถ้าคุณวิ่งคนเดียวคุณต้องมีความระมัดระวังตัวมากขึ้น ทั้งจากอันตรายรอบข้าง หรือแม้กระทั่งเรื่องร่างกายของคุณเอง แต่วิ่งในงานจะมีเจ้าหน้าที่คอยซัพพอร์ตคุณในทางวิ่งตลอด ปลอดภัยไร้กังวล
  9. Virtual Run คุณต้องส่งระยะสะสมไปเรื่อยๆก่อนถึงกำหนดจึงจะได้เหรียญ กว่าจะได้เหรียญก็ต้องรอส่งพัสดุมา แต่ที่งานวิ่งถึงจุดFinishเมื่อไหร่ เหรียญลงคล้องคอทันที
  10. Virtual Run ลงทะเบียนได้เรื่อยๆตามจำนวนที่เหรียญมี แต่งานวิ่งยิ่งงานใหญ่ๆ เปิดรับสมัครแปปเดียวเต็มซะแล้ว เห้อออออ!!

ที่จริงแล้วจะวิ่งแบบ Virtual Run หรือวิ่งในงาน แค่คุณออกมาวิ่งออกกำลังกายจะวิ่งแบบไหน ก็ดีต่อทั้งร่างกายและสุขภาพของคุณเหมือนกันแหละครับ ดังนั้นจะรอช้าอยู่ใย?ออกมาวิ่งกันเถอะ!!!!

 

เรียบเรียงโดย: Avarin team

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า