Top 5 รองเท้าวิ่งพื้น Carbon ปี 2021

Top 5 รองเท้าวิ่ง Carbon ปี 2021

ใส่แล้ววิ่งเร็วขึ้นขนาดไหน คู่ไหนใส่แล้วบิน

1.Saucony Endorphin Pro

เรียกได้ว่าแทบจะตามมาติดๆ เลยก็ว่าได้ที่หลังจากเริ่มมีการพัฒนารองเท้าวิ่งให้มีแผ่นคาร์บอน ทาง Saucony ก็ไม่รอช้าที่จะพัฒนารองเท้าวิ่งออกมาสู้ และเป็นตัวที่สามารถเกาะกลุ่ม Elite ได้อย่างสบายไม่แพ้กันเลยกับเจ้า “Saucony Endorphin Pro” ที่มีแผ่น Carbon เต็มแผ่นรองเท้าผสมกับโฟมที่มีนวัตกรรมที่ดีด เด้ง มากๆ ทำให้เป็นรุ่นยอดนิยมอีกรุ่นนึง

เทคโนโลยี

Speedroll Technology

ออกแบบด้านหน้าให้มีความโค้งที่เหมาะสมกับการส่งตัวไปด้านหน้าได้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยให้การวิ่งไหลไปด้านหน้าได้อย่างไหลลื่น ไม่บังคับพุ่งด้านหน้ามากจนเกินไป หรือบางทีสามารถให้คุณเพิ่มความเร็วได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม

PWRRUN PB FOAM และ S-Curve Carbon Plate

โฟมที่ทาง Saucony บอกไว้เลยว่ามีความเด้งที่สูง ให้เปรียบเสมือนแทมโปลีน ที่เวลาเรากระโดดเด้ง มาพร้อมแผ่น Carbon Plae แบบ S-Curve ที่วางไว้ใน Midsole ตรงบริเวณหน้าเท้าที่จะให้ความโค้งเป็นรูปตัว S ที่จะช่วยถ่ายเทแรงจากจังหวะการก้าวไปด้านหน้าได้ดีมากยิ่งขึ้น มีแรงส่งตัวไปด้านหน้า สร้างความสมูธต่ออัตราการก้าวเท้า

Formfit Upper

ผ้า Engineered Mesh เป็นรูปแบบผ้าตาข่ายชั้นเดียว พร้อมรูระบายอากาศบริเวณรอบเท้า ด้วยผ้าที่เป็นตาข่ายชั้นเดียว จะช่วยลดการเสียดสีได้เป็นอย่างดีไม่มีรอยปะ และที่สำคัญ ระบายอากาศได้ดีไม่อับชื้นและมีความกระชับสูง โอบอุ้มกลางเท้าได้เป็นอย่างดี เสริมด้วยหูคล้องเชือกพิเศษขึ้นอีก 1 รู เพื่อให้นักวิ่งมัดเชือกกลางเท้าได้แน่นมากยิ่งขึ้น

XT-900 Outsole

พื้นยางที่ปรับมาใหม่ให้มีความทนทานมากขึ้น ทนต่อกาใช้งาน ยึดเกาะได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทางโค้งหรือถนน ลื่นๆ ก็สามารถเกาะได้ดีมากขึ้น

Drop: 8

น้ำหนัก: 213 G (9 US) M / 179 G (8 US) W

หลังจากที่ได้ทดสอบใส่วิ่งจริง

บอกได้เลยว่า Saucony Endorphin Pro สามารถพาคุณทะยานแตะ Pace 3-4 ได้อย่างสบายๆ ด้วยเทคโนโลยีโฟม

PWRRUN PB FOAM ผสมกับนวัตกรรม S-Curve Carbon Plate ที่มีแรงส่งไปได้หน้าได้อย่างสูง แรงดีด แรงเด้ง ที่พอเวลาเรากดหน้าเท้าสัมพัสกับพื้น แผ่น Carbon กับโฟมจะทำงานทันที จะทำให้รอบขาของคุณควงรอบขาได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดแรงมากขึ้น วิ่งได้ไกล และเร็วมากขึ้น แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า รองเท้าแนว Carbon ส่วนมากจะเหมาะกับคนที่เท้าปกติ ไม่มีอาการเท้าล้ม หน้าเท้าไม่กว้างจนเกิดไป สำหรับผมให้ไม่เกิน 2E ถ้าเกินกว่านี้ อาจจะถูกบีบ เท้าด้านข้างก็เป็นได้

Saucony Endorphin Pro เป็นรองเท้าที่เหมาะสำหรับเน้นใส่แข่ง หรือ วันที่ลงคอร์ดทำความเร็ว แต่ด้วยทุกวันนี้ ถ้าถามว่าเราสามารถใส่ซ้อมในทุกๆ วันได้ไหม? ผมตอบเลยว่าได้ครับ เพราะหลายสนามที่ไปวิ่ง บางที่พื้นแข็ง ขรุขระ

รองเท้าพวกนี้ อาจเป็นตัวช่วยซัพพอร์ตเท้าของนักวิ่งได้ดี อาจจะไม่นุ่มแต่ก็รองรับแรงกระแทกได้ดีเช่นกัน และยังสร้างความสุขเล็กๆ ให้กับเราเพราะรองเท้าจะทำให้คุณประหยัดแรง มีแรงวิ่ง สนุกมากขึ้น

ความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลังจากใส่: ปกติวิ่ง Easy ของผมประมาณ Pace 6.10 ใส่แล้วเวลาขยับขึ้น มาประมาณ 10 วินาที ได้ Pace 6.00 สบายเลยยังอยู่ Easy เหมือนเดิม เร็วขึ้น เหนื่อยเท่าเดิม

2.Hoka One One Carbon X

เป็นรุ่นที่ครองใจสาย Endurance กันอย่างมากสำหรับนักวิ่งที่ชอบวิ่งทางไกลๆ คงต้องไม่พลาดกับเจ้า Hoka One One Carbon X ตัวนี้ดูความนุ่ม ไหลลื่น ในการพานักวิ่งควงรอบขาได้อย่างต่อเนื่องประหยัดแรง พร้อมดีกรีสถิติโลกที่ Jim Walmsley วิ่งที่ระยะ 80K ใช้เวลา 4:50:07 ชั่วโมงเท่านั้นโดยใช้เจ้า Hoka One One Carbon X ตัวนี้วิ่งแบบไหลๆ สบายๆ เข้าเส้นชัย

เทคโนโลยี

Upper พัฒนามาให้เป็นผ้าแบบ Engineered Mesh ที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น สวมใส่สบาย ไม่อับชื้น ไม่เสียดสีบริเวณรอบเท้าของนักวิ่ง และลวดลาย รูระบายอากาศทั้ง Upper

ลิ้นรองเท้า มีการเสริมฟองน้ำเข้ามาเพื่อไม่ให้การมัดเชือกที่แน่นของนักวิ่งไปกดบริเวณ หลังเท้า และไม่ให้เกิดการเสียดสี ที่เป็นเหตุให้เกิดตุ่มน้ำพุพอง

Midsole ยังใช่เป็นโฟม Profly เหมือนเดิม ที่ให้น้ำหนักเบา นุ่มสวมใส่สบาย มีการตอบสนองและแรงส่งคืนที่ดี และยังคงรูปแบบเดิมกับ Meta-rocker + Carbon plate (เต็มแผ่น) ที่เป็นพื้นโค้ง แบบม้าโยกเพื่อเพิ่มแรงส่งไปด้านหน้าได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้คุมรอบขาในการวิ่งยาวๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น

Outsole ใช่เป็นยาง Rubberized Eva แบบรุ่นเดิม มีความทนทานสูงและลวดลายใต้ฝ่าเท้า จะโชว์แผ่น Carbon plate ให้เห็น

Drop: 5

น้ำหนัก: 260 g (size 10 us)

หลังจากที่ได้ทดสอบใส่วิ่งจริง

วิ่งไกลขนาดไหนก็ไม่เมื่อย บอกได้เลยสำหรับผม ผมจะชอบตัวนี้มาก ด้วยเป็นคนที่ไม่ได้วิ่งเร็วมาก แต่ชอบวิ่งไกลๆ ไหลๆ ไม่เร่งตัวเองมาก Hoka One One Carbon X ทำงานได้ดีมาก สำหรับใครที่วิ่ง Pace ประมาณ 5-6 นิ่งๆ วิ่งได้เรื่อยๆ ไม่ควรพลาดตัวนี้เลยครับ เทคโนโลยี Mata-Rocket ที่ใต้รองเท้าโค้งเหมือนท้องเรือที่ทำให้เราเหมือนเอนตัวไปด้านหน้าตลอดเวลา ทำให้การก้าวไหลลื่นมากยิ่งขึ้น ออกแรงน้อยลง เพราะรองเท้ามันจะบังคับเราให้ไปด้านหน้าได้เรื่อยๆ

โฟม Profly ก็รองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี วิ่งนานแค่ไหนก็ไม่สะเทือน จากประสบการณ์ที่เคย แนะนำพี่นักวิ่งท่านนึงที่เขากำลังจะไปลงแข่งงาน วิ่งระยะ 100 กิโล พี่นักวิ่งตัดสินใจเลือกตัวนี้ไปลองลงแข่ง หลังจากงานวิ่งนั้นผ่านไป ผมได้เจอกับพี่เขาอีกครั้ง และได้ Feedback ตอบรับมาเป็นอย่างดี พี่เขาบอกว่า “ไม่คิดว่ารองเท้าจะพาเขาวิ่งได้จบอย่างสบายๆ ไม่เจ็บ คุมรอบขาง่าย ประคอง Pace ที่ตั้งเป้าไว้ได้สบาย ตามเวลาที่ตั้งเป้า”

Hoka One One Carbon X อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำความเร็วสุดๆ ที่มีแรงส่งสูงๆ ดีดๆ เด้งๆ แต่ Hoka One One Carbon X เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรองเท้าไหลๆ ไปเรื่อยๆ คุมรอบขาง่าย และรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี

ความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลังจากใส่: ปกติวิ่ง Easy ของผมประมาณ Pace 6.10 ใส่แล้วเวลาเท่าเดิม แต่!!!! ไปได้ไกลขึ้นระยะเพิ่มขึ้น ไม่ล้าขาคุมขาง่ายขึ้น ความเร็วนิ่ง ระยะเพิ่มสบายไม่เมื่อยไม่ล้า

3.Hoka One One Rocket X

ออกแบบมาสำหรับการวิ่งระยะไกลและคนที่ชอบทำความเร็วโดยเฉพาะ จึงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนรองเท้าคู่ไหน และยังเป็นรองเท้าที่ Jim Walmsley ยังคงเลือกใช้แข่งในการแข่งขัน U.S. Olympic Marathon Trials 2020 ที่ผ่านมา Jim Walmsley ได้สวมใส่รองเท้า HOKA ONE ONE ROCKET X และจบการแข่งขันด้วยเวลา 2:15:05  คงไม่ต้องบอกนะครับว่าแรงขนาดไหน

เทคโนโลยี

  • โฟม EVA น้ำหนักเบา ที่ออกแบบมาเพื่อการวิ่งที่นุ่มนวลและตอบสนองได้ดี
  • แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์หนา 1 มม. ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับนักวิ่ง
  • พื้นรองเท้าชั้นนอกถูกออกแบบเพื่อเพิ่มความทนทานและการยึดเกาะ
  • ผ้าเป็นผ้าตาข่ายแบบเปิดที่ออกแบบมาเพื่อให้สวมใส่สบายและระบายอากาศได้ดี
  • Meta-Rocker เทคโนโลยีที่จะทำให้การวิ่งของคุณไหลขึ้น สมูธขึ้น

น้ำหนัก: 290 กรัม (size 9US)

Drop: 5 มม.

หลังจากที่ได้ทดสอบใส่วิ่งจริง

แต่ก่อนเคยบอกว่ารุ่นนี้ใส่ความเร็วระยะประมาณ 21K สบายๆ แรงทะลุเลนไปเลย จนเทพ Jan Fredeno นักไตรกีฬาผู้ที่ครองสถิติโลกประเภทไตรกีฬาในรูปแบบ IRONMAN เอาเจ้า Hoka One One Rocket X ไปใส่ในสเตชั่นวิ่ง ทำเวลามาราธอนไว้ที่ 2:44:21 ชั่วโมง  ทั้งๆ ที่ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานมาแล้วด้วย บอกเลยว่าคงไม่ใช่ที่แรงในร่างกายด้วย ต้องมีรองเท้าที่เน้นทำความเร็วช่วยเพิ่มไปอีกแรง บอกเลยว่าสุดยอดมนุษย์จริงๆ

สำหรับผมที่เอาเจ้า Hoka One One Rocket X ไปใส่ ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าตัวนี้ แผ่น Carbon ไม่ได้เต็มแผ่นเหมือนรุ่นอื่นๆ นะครับ เขาจะใส่แผ่น Carbon ไว้ที่บริเวณปลายเท้า เท่านัั้น ทำให้เหมาะสำหรับคนที่ชอบวิ่งลงหน้าเท้าตลอดเวลา Hoka One One Rocket X สามารถพาคุณวิ่งความเร็วได้ถึง Pace 3 เลยแหละอยู่ที่ว่าเรากดแรงไปไหวริป่าวเท่านั้นเอง แต่สำหรับผมนั้น….. Pace 6 ก็หอบแล้ว 555 เหมาะสำหรับใส่ได้ทั้งซ้อม ทั้งแข่ง ทั้งลงคอร์ด ครบถ้วน ถือว่าคุ้มค่าพร้อมพาคุณทะยานเข้าเส้นชัยได้อย่างรวดเร็ว

Hoka One One Rocket X จะเป็น Size แบบ Unisex ซึ่ง ผู้หญิง ผู้ชาย สามารถใส่ด้วยกันได้ แต่ต้องดู Size ให้ดีนะครับ

ความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลังจากใส่: ปกติวิ่ง Easy ของผมประมาณ Pace 6.10 ใส่แล้วเวลาขยับขึ้นมา หน่อยนึงประมาณ 5 วินาที แต่เมื่อยน่องหน่อยๆ เพราะพยายามกดหน้าเท้าแต่ได้แรงดีดที่ดีเลย

4.Asics Magic Speed

Magic Speed ต้องบอกเลยว่าเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีของ Asics ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็เรื่องรูปทรง ตัวโฟม หรือการที่เอาแผ่น Carbon มาใส่ในพื้นชั้นกลางทำให้รองเท้ามีประสิทธิภาพในการช่วยให้นักวิ่งวิ่งได้ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะใส่ซ้อม ใส่แข่ง ก็สามารถเลือกใช้งานได้ทุกรูปแบบ

เทคโนโลยี

Upper: ที่มีความกระชับ ติดเท้า การระบายอากาศดีโดยเนื้อผ้ามี 2 ชั้น ช่วงส้นที่มีนวมบุด้านหลังส้นช่วยให้กระชับมากยิ่งขึ้น และสวมสบายมากขึ้น ความกระชับในส่วนของกลางเท้ามีความกระชับสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งได้ดีมากยิ่งขึ้น

Midsole: ใช้โฟม FlyteFoam Blast โฟมที่ทาง Asics พัฒนามาที่ให้ความนุ่มเด้งและพอผสมกับแผ่น Carbon จึงทำให้ Magic Speed มีความแน่นและเฟิร์มมากกว่ารุ่นปกติ และด้วยทรงรองเท้าแบบ Guidsole และแผ่นคาร์บอน ทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งไหล ทั้งดีด มีความสมูธในการวิ่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

Outsole: AHAR® PLUS OUTSOLE ด้วยเทคโนโลยี AHAR® PLUS ที่ออกแบบมาให้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญของพื้นรองเท้าทำให้มีความทนทานมากขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นปกติ พื้นยางแบบเต็มแผ่นมั่นใจเรื่องความทนทาน ส่วนเรื่องการยึดเกาะหลังการใช้งานวิ่งเร็ว

น้ำหนัก:  210 กรัม (US M9)

Drop: 5 mm

หลังจากที่ได้ทดสอบใส่วิ่งจริง

ด้วยพื้นที่ค่อนข้างบาง ไม่นุ่มไป ไม่เด้งไป แต่ให้ความเฟิร์มสุดๆ ในตอนที่ก้าวออกไปวิ่งในแต่ละครั้ง สำหรับผม Asics Magic Speed เน้นไปทางใส่ซ้อมหลักๆ ความเร็วที่สามารถทำขึ้นไปได้และเต็มประสิทธิภาพของรองเท้าน่าจะประมาณ Pace 5-6 กำลังสบายเท้า ดีดเด้งนุ่มผสมกันไป ตัวผ้าสวมใส่สบายกระชับเท้า ไม่เหมาะกับคนหน้าเท้ากว้างนะครับ

แผ่น Carbon ในรุ่นนี้ก็ไม่เต็มแผ่นนะครับ อยู่บริเวณที่ปลายเท้า สำหรับใครที่วิ่งลงหน้าเท้าตลอดเวลาก็จะสัมพัสได้ทันที แต่ถ้าใครวิ่งลง ส้นเท้าผมเองอาจจะไม่แนะนำให้ใส่รุ่นนี้ซะเท่าไหร่ แต่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนด้วยนะครับ

น้ำหนักที่เบาเหมือนรองเท้ากับเท้าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้รู้สึกสบายเท้า ก้าวได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลังจากใส่: ปกติวิ่ง Easy ของผมประมาณ Pace 6.10 ใส่แล้วเวลาเท่าเดิม แต่ก้าวมั่นคงขึ้นในรอบขาไม่เกิน 180 แต่ลองก้าวยาวขึ้นก็วิ่งได้ดีเช่นกัน แต่สำหรับผมอาจใช้แรงเพิ่มอีกหน่อย

5.Peak Taichi Up 30 Carbon

Peak Taichi UP 30 Carbon รองเท้าวิ่งถนน มาพร้อมเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ รองรับทั่วบริเวณเท้าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่ม Energy Return วิ่งได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ออกแรงเท่าเดิม ด้วยประสิทธิภาพของ คาร์บอนไฟเบอร์ ที่ทำให้เมื่อมีการเคลื่อนที่ หรือมีการเคลื่อนไหว จะช่วยเพิ่มพลังงานให้มีกำลังเคลือนไปข้างหน้าได้มากขึ้น ช่วยลดการต้านจากภายนอก เปลี่ยนเป็นพลังงานสะท้อนกลับไป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความทนทาน ขณะวิ่งให้มีความสม่ำเสมอ ลดนำหนักให้เบาขึ้นกว่าปกติ ถึง 48% ช่วยให้การวิ่งได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดพลังงานที่ร่ายกายจะสูญเสียได้มากขึ้น เหมาะกับนักกีฬาที่ต้องการรองเท้าวิ่งที่มีตัวช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตลอดการแข่ง

เทคโนโลยี

Upper

ด้านหน้าเท้าจะใช้เส้นด้ายไฟเบอร์ใยแก้ว ทำให้มีความแข็งแรง โอบอุ้มเท้าให้วิ่งได้รู้สึกสบายขึ้น มีความเบาบาง จนมองเห็นภายในตัวรองเท้า การออกแบบรูปทรงใช้หลัก Kinetic Energy หรือพลังงานจลน์ในการช่วยลดแรงต้าน ถ้ามองไปด้านในจะเห็นเฟรมจากการทอเส้นเรียบเพิ่มความสวยงามและให้ความนุ่มนวลกับเท้าได้มากขึ้น ใช้เทคโนโลยีแบบ Cool Free เพิ่มรูระบายอากาศให้มีมากขึ้น เพื่อการระบายอากาศและทำให้ความร้อนหมุนเวียนในรองเท้าต่ำเมื่อมีการใช้งานเป็นเวลานาน เหมาะอย่างยิ่งกับการออกกำลังกายในเขตร้อนชื้นแบบประเทศไทย

Midsole

Midsole ชั้นที่ 1 นวัตกรรม P-PoPup จากวัสดุ ETPA ที่คิดค้นและสรรสร้างขึ้นจากกระบวนการของเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านกระบวนการผลิตแปรรูปให้เป็นโฟมทีมีโครงสร้างลักษณะพิเศษ ด้วยอนุภาคขนาดเล็กที่ยึดเกาะกันอยู่ เมื่อมีการเคลื่อนที่ หรือ มีการเคลื่อนไหวในชั้นของโฟม จะช่วยเพิ่มพลังงานให้มีกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าได้มากขึ้น ช่วยลดการต้านจากภายนอก เปลี่ยนเป็นพลังงานสะท้อนกลับไป อีกทั้งยังได้เพิ่มความทนทาน น้ำหนักเบาขึ้นกว่าปกติ ถึง 75%

Midsole ชั้นที่ 2 แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ แบบเต็มเฟรม ช่วยในเรื่องการออกตัว การเร่งสัมผัสให้มีการสะท้อนแรงกลับได้มากขึ้น ทุกก้าวที่นักวิ่งก้าวออกไป ไม่จำเป็นต้องใช้แรงให้มาก แต่ด้วยคุณลักษณะพิเศษของคาร์บอนไฟเบอร์ จะทำให้การวิ่งเข้าสู่เส้นชัยในเวลาที่ดีขึ้น ไม่ใช้เรื่องยากอีกต่อไป

Midsole ชั้นที่ 3 นวัตรกรรมจาก Taichi : ไทชิ = ได้แรงบันดาลใจ จากการเคลื่อนไหว อ่อนช้อย นุ่มนวล แต่ทรงพลัง มีแรงส่งจากธรรมชาติ ผลิตจากวัสดุสมาร์ทโพลีเมอร์อัจฉริยะ ได้รับการจดสิทธิบัตรด้านนวัตรกรรม ซึ่งวัสดุโพลีเมอร์อัจฉริยะ (P4U) จะมีการกระจายโมลิกุลและการตอบสนองต่อการกระแทกให้อ่อนนุ่มเหมือนเจล แต่ด้านที่ได้รับการกระทบก็จะแข็งและส่งแรงต้านออกไป ทำให้ออกแรงน้อยแต่มีแรงผลักออกไปได้มากขึ้น

Outsole

พื้นรองเท้าแบบ MD+Rubber light bouncy and durable จะมีความเหนียว และ ทนทานที่สุด ยืดหยุ่นได้มาก มาพร้อม Anti-slip วิ่งได้อย่างมั่นใจไม่กลัวลื่น ให้ความนุ่มนวลเวลาสัมผัสพื้น มีการออกแบบให้โปร่งสะท้อนแสง เมื่อวิ่งในที่แสงน้อย พื้นรองเท้าจะเป็นตัวช่วยสะท้อนแสงไฟ ที่จะมากระทบ ทำให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังเห็นได้ชัดขึ้น

น้ำหนัก: 290 g (size 44)

Drop: 10 mm

หลังจากที่ได้ทดสอบใส่วิ่งจริง

เป็นรุ่นที่อาจไม่คุ้นหูใครๆ สักเท่าไหร่นะครับแต่บอกได้เลยว่า ดีดเด้ง ไม่เป็นรองใครเช่นกันครับ เทคโนโลยีที่ Peak ใส่แผ่น Carbon เต็มแผ่นเท้า และผสมกับโฟมไทชิที่ให้ความนุ่มเด้ง ทำให้การวิ่ง ลื่นไหลได้ดีขึ้น แต่บอกตามตรง เจ้ารุ่นจะให้ความรู้สึกหลายอารมณ์เช่นกัน เพราะเวลาวิ่งมันจะเด้งๆ ดีดๆ ออกแนวกระด้างหน่อย แต่พอเดิน กลับกลายเป็นนุ่มทันที ไม่มีความกระด้าง เลย ด้วยเทคโนโลยีโฟมไทชิที่เขาใส่มาจริงทำให้รองเท้าเปลี่ยนสัมพัส ตามการลงเท้าได้เป็นอย่างดี ตัวนี้น้ำหนัก อาจจะสูงกว่ารุ่นอื่นๆ หน่อยนะครับ แต่ก็ไม่ต่างมากที่จนทำให้รู้สึกแบบ “โห้หนักจัง” ยังพอเป็นน้ำหนักที่รับได้อยู่ในรองเท้าสายสปีด และราคาไม่สูงด้วย

Peak Taichi Up 30 Carbon เหมาะกับการทั้งใส่ซ้อมและใส่แข่ง สำหรับใครที่อยากได้รองเท้า ที่มีแผ่น Carbon ราคาไม่แรง บอกเลยตัวนี้น่าคบหาสุดๆ สามารถพาคุณวิิ่ง Pace 5-6 ได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรงมากเลย

ความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลังจากใส่: ปกติวิ่ง Easy ของผมประมาณ Pace 6.10 ใส่แล้วเวลาคงที่ อาจปรับจังหวะลงเท้าหน่อยสำหรับเร่ง ออกกระด้างหน่อยๆ แต่โดยรวมถือว่าโอเค คุมเวลาได้ ประหยัดแรง

 

สุดท้ายนะความเร็วเพซที่เร็วขึ้นจากการวิ่งแล้วได้มาถ่ายทอดความรู้สึก เกิดจากการทดลองของทีมงาน อาจเป็นผลเฉพาะตัวบุคคลและลักษณะการวิ่งด้วยนะครับเอาไว้ประกอบการตัดสินใจ แต่ละคนวิ่งไม่เหมือนกัน เร็วไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีความสุขด้วยกันในวันที่เราออกไปวิ่ง ขอบคุณครับ……

 

สั่งซื้อสินค้า >>> คลิ๊ก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า