Review จักรวาลของ Garmin Forerunner Series

Review จักรวาลของ Garmin Forerunner Series

เจาะลึก Running Dynamic จบ post เดียว อะไรที่เพิ่มเข้ามา ในตัว 965 และ 265 บ้าง

Garmin Forerunner 255 และ 955 เป็นนาฬิกาสายกีฬา ในกลุ่ม Forerunner มีโหมดฟังก์ชั่นการออกกำลังกายที่หลากหลาย เพื่อให้ตอบโจทย์นักกีฬามากขึ้น ไม่ว่าจะวิ่ง ว่าย ปั่น เทรล ไตรกีฬา และมีรองรับการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาความสามารถทางกีฬาให้กับผู้ใช้งาน สิ่งที่ต่างจากเดิม คือ การพัฒนาหน้าจอแบบ Amoled เพิ่มความคมชัด และการใส่ Function ในการซ้อมแบบเต็มรูปแบบเข้าไป

Garmin Forerunner 265 ต่อยอดจาก 255 ให้เป็นอีกทางเลือกนึงในกลุ่มไลฟ์สไตล์ เพิ่มระบบหน้าจอที่สามารถทัสกรีนได้ และเอาจอ AMOLED เข้ามาใส่เพื่อให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น เพิ่มโหมดการฝึกซ้อม TraningReadiness เข้ามาเพื่อให้พัฒนาการฝึกซ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Garmin Forerunner 965 เพิ่มจอ AMOLED ที่มีความใหญ่ที่สุด กว้างที่สุด ที่ Garmin เคยทำออกมา และยังเสริมด้วยขอบวัสดุแบบ Titanium ยกระดับความแข็งแกร่งและหรูหรามากที่สุดในตระกูลทำให้ยิ่งน่าใช้เข้าไปอีก เพิ่มระบบฟังก์ชั่นการฝึกซ้อมแบบ TrainingLoadRatio ข้อมูลเชิงลึกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกให้ได้สูงสุด

เจาะลึกฟังก์ชั่นเด่นในการวิ่ง

Running Dynamics การวัดมิติการวิ่งต่างๆ เพื่อการพัฒนาฟอร์มการวิ่ง

Garmin Forerunner 265 กับ Forerunner 965 มีฟังก์ชั่นนี้พร้อมใช้งานทันที ต่างจาก 255 และ 955 เดิม ที่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเข้าช่วย มีอะไรบ้าง ลองไปเจาะลึกกันครับ

  • Ground Contact Time Balance: ความสมดุลของเท้าซ้ายและขวาที่เท้าเหยียบพื้นขณะกำลังวิ่ง ในกรณี ค่ามีความไม่ Balance กันระหว่างข้างซ้ายและขวา มีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดเจ็บจากความไม่สมดุลได้ เราสามรถนำข้อมูลมาเพื่อใช้ปรับพัฒนาท่าวิ่ง โดยการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และปรับท่าวิ่งอย่างเหมาะสมต่อไป
  • Ground Contact Time: ระยะเวลาในการแช่ขา เป็นอีก 1 ปัจจัย ที่มีผลต่อ Running Economy มาก ค่ายิ่งมาก แสดงว่าเราแช่ขานานเกินไป ค่ายิ่งน้อย แสดงว่าเราวิ่งประหยัดพลังงานได้ดี มีหลายวิธีที่ช่วยลด GTC อาทิ เพิ่มรอบขาขึ้น การฝึก Plyometric การ Drill เป็นต้น
  • Cadence: รอบขา จำนวนก้าว (ก้าวขวา+ก้าวซ้าย) ต่อนาที จำนวนก้าวที่เหมาะสม ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการวิ่ง นักวิ่ง ควรมีรอบขาอย่างน้อย 170 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป เพื่อประหยัดพลังงานในการวิ่ง รวมถึงลดแรงกระแทกในการวิ่งด้วย
  • Vertical Oscillation: ระดับการเด้งตัว ในขณะวิ่ง ค่าคร่าวๆ ไม่ควรเกิน 8 cm ยิ่งเด้งเยอะ เราก็มีการเสียพลังงานในแนวตั้งมากขึ้น ควรปรับท่าวิ่งเพื่อพัฒนาให้ลดการเด้งของตัว มาเข้า Camp Avarin Basic run เราช่วยได้
  • Vertical Ratio: สัดส่วนของค่า Vertical Oscillation ต่อ Stride Length เป็นค่าที่เทียบความเร็วการวิ่ง กับตัวเด้ง คนเราถ้าวิ่งเร็วขึ้น ตัวจะเด้งสูงขึ้นได้ ค่านี้จึงเป็นตัวเทียบการเด้งในทุกความเร็ว ค่าน้อยยิ่งมีประสิทธิภาพ ควรน้อยกว่า 8%
  • Stride Length: ระยะก้าว ค่าที่ดีควรเกิน 0.90 m ในการวิ่ง easy ในขณะรอบขา เกิน 170 ครั้ง ถ้ายังไม่ถึง ช่องทางในการพัฒนามีหลายแบบ อาทิ การฝึก drill การฝึก mobility เป็นต้น เพื่อให้คุณ ก้าวได้ไกลกว่าเดิม

Running Power ค่าความหนักในการวิ่ง

Forerunner265 กับ 965: มีฟังก์ชั่นพร้อมใช้งานแบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม เป็นการดูความหนัก(Intensity) ในการวิ่ง อีกรูปแบบ นอกจาก การใช้ HR Zone, Pace Zone หรือความรู้สึกเหนื่อย(RPE) มีหน่วยเป็น Watt แบบทำให้เราซ้อมได้แม่นยำ เฉียบคมมากขึ้น ไม่หลง zone การออกกำลังไม่พอดีกับเป้าหมาย เช่น เราวิ่ง EASY run ที่ pace 6.00-6.30 HR 120-140 ที่ Power 300-330 w เป็นต้น ทำให้การวิ่งเราตรงความหนักมากขึ้น ผ่านตัวแปรหลายตัว ซึ่งมีข้อดี ข้อด้อยต่างกัน และยังใช้ในการแข่งไม่ให้วิ่งล้นจากการดู Pace เพียงอย่างเดียว ในกรณีสนามมีความชัน watt ช่วยให้เราวิ่งไม่หนักไปจนชนกำแพง สนามที่เหมาะมากๆ เช่น บางแสน 42  , Laguna หรือสนามที่มีความชันมากๆ

Realtime stamina (Function ที่มีเฉพาะ 955/965 แต่ไม่มีใน 265,255)

ใช้ในการกะพลังในการแข่งขัน ว่าเราจะไปตลอดรอดฝั่ง รีดพลังได้เหมาะสม จนถึงจบการแข่งขัน โดยค่าจะตั้งต้นที่ 100% และลดลงเรื่อยๆ ตามเวลาแข่ง  ค่าพลังงานแบบเรียลไทม์ที่จะช่วยให้คุณวิ่งได้ดีที่สุด ค่าไม่ควรแตะ 0% ก่อนที่จะถึงเส้นชัย ทำให้เราผ่อนหนักเบาได้ถูกต้อง Function นี้เกิดจากความชาญฉลาดของ Algorithm ใน Garmin ส่วนตัวใช้แล้วชอบมาก และค่อนข้างตรง ถ้าเรา set zone HR ต่างๆ ตรง และมีการฝึกซ้อมหลายรูปแบบให้นาฬิกาเรียนรู้ร่างกายเราอย่างเพียงพอ

Heat acclimation (Function ที่มีเฉพาะ Serie 9 เท่านั้น)

การแข่งในที่ร้อน เรามีความจำเป็นต้อง ซ้อมในที่ร้อนให้ ร่างกายปรับตัวในที่ร้อนได้ดี เราเรียกว่าให้ร่างกายมี heat acclimatization เพื่อให้ร่างกาย ระบายความร้อนเก่ง อุณหภูมิ Core Temperature เราก็จะต่ำกว่า คนที่ไม่ได้ฝึก Heat Acclimatization มาเลย

แต้มต่อทางการระบายความร้อนมีความสำคัญมาก ถ้าอุณหภูมิกายยิ่งร้อน ระบายความร้อนไม่เก่ง เราจะใช้พลังงานมากขึ้น เสียพลังมากขึ้น หัวใจทำงานหนักมากขึ้น กล้ามเนื้อทำงานหนักมากขึ้น ทำให้ความเร็วในการวิ่งเราต่ำกว่าปกติ หรือหรืออันตรายมาก ถ้าฝืนจะเกิด Heat Stroke ได้เลย

ดังนั้นค่านี้เป็นค่าที่ Garmin จะประเมินผลการซ้อมให้เราแต่ละ session ว่าเราซ้อมรอบนี้พัฒนา Heat Acclimatization ขนาดไหนเป็น Percent และจะไปประเมินเป็นส่วนนึงของความฟิต Training status ดังนั้นนักกีฬาที่จะไปวิ่งเทรล วิ่งแข่งใน Zone อากาศร้อนชื้น เช่น ภูเก็ต ภาคใต้ หรือแม้แต่บางแสน 42 ในบางช่วงที่อากาศร้อน และชื้น การพัฒนาให้ร่างกายมี Heat Acclimatization เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเป็นแต้มต่อทางการแข่งขัน รวมถึงการลดการเกิด Heat Stroke ด้วย

TraningReadiness ( มีในทุกรุ่นของ Forerunner )

ข้อมูลเชิงลึกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกให้ได้สูงสุด การที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดจะต้องมีความพร้อมไม่อย่างนั้นอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ข้อมูลจะช่วยคุณดูว่ามีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายหนักและเมื่อใดที่ควรผ่อนลงเพื่อให้ร่างกายของคุณฟื้นฟูตามทัน

ฟังก์ชั่น Outdoor ที่โดดเด่นใน Series 9

  • Map (มีเฉพาะใน Serie 9): แผนที่ที่สามารถดาวส์โหลดได้ทั่วโลกเพื่อที่จะได้เห็นเส้นทางอย่างชัดเจน สามารถดาวส์โหลดไฟล์ ของการแข่งขันแต่ละสนามมาลงได้ เพื่อให้ช่วยนำทางในการวิ่ง Trail
  • Sight‘NGo (มีเฉพาะใน Serie 9): เข็มทิศแบบ 3 แกนพร้อมการปรับเทียบอัตโนมัติ คุณสมบัติเข็มทิศและการเปลี่ยนรูปลักษณ์ขึ้นอยู่กับกิจกรรมว่า GPS ถูกเปิดใช้งานอยู่ หรือ กำลังนำทางไปยังหนึ่งจุดหมายปลายทางหรือไม่ มีประโยชน์ในการวิ่งเทรลและ Trekking
  • Climb Pro (มีเฉพาะใน Serie 9): แสดงการปีนที่จะมาถึงในเส้นทาง ซึ่งบอกว่าจะเกิดที่ระยะทางเท่าใด และความยาวและการไต่ระดับของการปีนเป็นอย่างไร
  • Elevation Gain (มีใน Serie 2 และ 9): ค่าความชันสะสม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นโดยเฉลี่ยรวมเท่าไหร่ ความสูง ณ ตอนนั้นเท่าไหร่ หรือการลงสะสม ข้อมูลก็จะแสดงให้เห็นบนนาฬิกาทั้งหมด
  • Altitude Acclimation (มีเฉพาะใน Serie 9): เป็นข้อมูลแสดงการปรับตัวในการซ้อมที่สูง คล้ายๆ การปรับตัวกับความร้อน แต่เป็นความสูงแทน และจะไปประเมินเป็นส่วนนึงของความฟิต Training status

สรุปภาพรวมในการเลือกปัจจัยที่พิจารณา

1) ถ้าต้องการ จอใส ปิ๊ง สวย คม แบบ smart Watch Lifestyle ในท้องตลาด แนะนำให้ เลือก ของใหม่ 265 , 965 ได้เลย

2) ถ้าต้องการ Running Dynamic เพื่อพัฒนาการวิ่งแบบก้าวกระโดด โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม (Running Dynamics pod) ไม่ว่าจะเป็นการ สมดุล ซ้ายขวา การแช่เท้า ค่าตัวเด้ง แบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม รวมถึงค่า power ในการวิ่ง (Running power 6,XXX บาท) แนะนำให้เลือกของใหม่ 265, 965 ได้เลย

3) สิ่งที่ 965 มีเหนือกว่า 265 เป็น Function ที่มีประโยชน์ใช้ได้จริง เช่น  Real time stamina, Heat acclimation, Altitude acclimation แผนที่บอกทาง และเข็มทิศ Climb pro ในสายเทรลและ Trekking เป็นตัวเลือกหลักที่นักวิ่งพิจาณาว่าจะจัดเต็ม 965 เลยไหมครับ

4)ถ้าต้องการดูข้อมูลในโหมดพัฒนาประสิทธิภาพของร่างกายแบบครบฟังก์ชั่น 965 จะทำได้ละเอียดมากกว่า 265 เช่น โหมด Realtime stamina ที่จะมีแค่ในเฉพาะ Serie 9 เท่านั้น

5) สุดท้ายเป็นเรื่องราคา ถ้าไม่เกี่ยงในเรื่องราคา และต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งจากการซ้อม และในส่วนของ Trail แนะนำ 965 เลย แต่ถ้ามี Budget ในใจ สามารถ step ลงมาที่ 265, 255 และ 955 ได้เลย

สนใจสั่งซื้อสินค้า : https://bit.ly/3O9SN09

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า